วันอังคารที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

แห่ไหว้ “หลวงปู่พริ้ง ขนฺติพโล (เทวดาหลังเขา)” ละสังขาร สังขารไม่เน่า เชิญสักการสังขารหลวงปู่พริ้ง ขนฺติพโล (เทวดาหลังเขา) เปิดให้ลอดสรีระสังขารเพื่อสิริมงคล


ที่วัดถ้ำชาละวัน บ้านถ้ำชาละวัน ต.คลองคะเชนทร์ อ.เมืองพิจิตร จ.พิจิตร
 ซึ่งตั้งโลงแก้วบรรจุสรีระสังขาร หลวงปู่พริ้ง ขนฺติพโล (เทวดาหลังเขา) ยังคงมีลูกศิษย์ลูกหา และชาวบ้านที่เลื่อมใสศรัทธาในตัวหลวงปู่พริ้ง เดินทางมากราบไหว้ ซึ่งทุกคนจะทราบดีว่า ท่านถูกยกให้เป็นเทวดาหลังเขา

แต่ละวันชาวบ้านในพื้นที่จะมาทำบุญที่วัดทำนุบำรุงพระพุทธศาสนากัน และในช่วงที่มีงานบุญก็จะมีคนมาเต็มวัด ซึ่งที่วัดก็จะเปิดให้ลูกศิษย์ลูกหาและประชาชนทั่วไปได้เข้ามากราบสีระสังขารหลวงปู่และพาลอดสังขารหลวงปู่ เพื่อความเป็นสิริมงคล ปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกจากตัวตามความเชื่อ ลอดด้านล่างของสรีระสังขารหลวงปู่ 3 รอบ เพื่อความเป็นสิริมงคล

ฉายาที่ผู้คนทั้งประเทศรู้จักดีนั้นคือ เทวดาหลังเขา ผู้วิเศษแห่งขุนเขา เถระชรา  ตาเพชร

สิ่งที่หลวงปู่พริ้ง ได้ฝากไว้นั้นคือความดีพระผู้มีแต่ให้ ให้จนวินาทีสุดท้ายของสังขาร

วัตถุมงคลหลวงปู่พริ้ง  ล้วนมีประสบการณ์ทุกรุ่น  ไม่ว่าด้านค้าขาย  โชคลาภ  ต่ำแหน่งหน้าที่การงาน

 เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย เป็นที่ประจักแก่ศิษย์ยานุศิษย์มากมาย

สุดยอดเกจิอาจารย์”หลวงปู่พริ้ง ขันติพโล”วัดซับชมพู่ได้ละสังขารมรณะภาพแล้ว อย่างสงบ เมื่อเวลา 18.00 น. 21/07/61 ณ โรงพยาบาลหนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์

ประวัตโดยย่อ : หลวงปู่พริ้ง ขันติพโล หรือหลวงปู่พ่อเฒ่าพริ้ง ฉายา “เทวดาหลังเขา” เกจิอาจารย์ดังแห่งวัดซับชมพู่ อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ เป็นศิษย์พุทธาคมสายตรงของ หลวงพ่อเดิม พุทธสโร วัดหนองโพ จ.นครสวรรค์ และหลวงพ่อทบ ธัมมปัญโญ วัดช้างเผือก จ.เพชรบูรณ์

เป็นคนนครสรรค์โดยกำเนิด บ้านเกิดคือ บ้านสามัคคีธรรม หมู่ ๑๐ ต.ห้วยร่วม อ.หนองบัว จ.นครสวรรค์ ซึ่งอยู่ติดกับวัดหลวงพ่อเดิม (วัดหนองโพ) และหลวงพ่อเดิมเป็นผู้ตั้งชื่อให้ครอบครัวท่าน ๓ คน คือ ๑.พริ้ง ศรสุรินทร์ ๒.กิ่ง ศรสุรินทร์ ๓.เจริญ ศรสุรินทร์ บิดาของท่านชื่อ “แบน ศรสุรินทร์” เป็นกำนันตำบลห้วยร่วม

             หลวงปู่พริ้งบวชเป็นสามเณรกับหลวงพ่อเดิม และอยู่ปรนนิบัติรับใช้ พร้อมกับได้ศึกษาธรรมะและเรียนทางโลกไปด้วย ทั้งนี้ หลวงพ่อเดิมเคยพูดฝากไว้ว่า “…คุณพริ้ง ฉันบวชให้แล้วอย่าสึกนะ ถ้าจะสึก ก็ให้กลับมาบวชใหม่ ตอนมีแรง ให้ทำความเพียรไว้ให้มากๆ ท่านต้องช่วยคนตอนแก่นะ ข้างบนเขากำหนดไว้อย่างนั้น..”

             หลังจบชั้นป.๔ ท่านได้ไปเรียนต่อที่โรงเรียนประจำจังหวัดนครสวรรค์ (ชาย) จนจบชั้น ม.ศ.๕ ก็ถูกทางราชการเรียกตัวไปเป็นครูสอนหนังสือเพราะท่านเรียนเก่งมาก เนื่องจากสมัยนั้นประเทศขาดแคลนครูเป็นอย่างมาก ท่านได้ปฏิบัติหน้าที่รับใช้ประเทศชาติอยู่นานหลายปี แต่มีความเบื่อหน่ายทางโลก เพราะทางธรรมฝังอยู่ในสายเลือดแล้ว จึงได้กลับมาบวชใหม่อยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ โดยมีหลวงพ่ออ๋อย สุวรรณโณ (พระครูนิกรปทุมรักษ์) วัดหนองกลับ (วัดหนองบัว) อ.หนองบัว จ.นครสวรรค์ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังบวชแล้วได้เดินธุดงค์แสวงหาความสงบวิเวกไปเรื่อย ได้พบพระอริยสงฆ์ พระอาจารย์หลายองค์ โดยได้อยู่ศึกษาธรรมและศึกษาพุทธาคมพระคาถาอาคม พร้อมกัน จนในที่สุดท้ายคือ หลวงพ่อทบ วัดช้างเผือก (วัดชนแดน) และหลวงพ่อเขียน วัดสำนักขุนเณร โดยมีหลวงปู่ขุ้ย วัดซับตะเคียน เป็นสหายธรรม

             หลวงปู่พริ้ง ได้ออกธุดงค์จนพบสถานที่เงียบสงบวิเวกจริงๆ (บริเวณที่เป็นวัดในปัจจุบัน) จึงอธิษฐานจิตปักกลดถาวร ว่า “หากบุญบารมีที่ได้สะสมไว้มีจริง ขอให้สร้างสถานที่นี้เป็นวัดได้สำเร็จ” หลังจากนั้นท่านได้เริ่มปรับปรุงพื้นที่ จากกลดก็สร้างเป็นกระต็อบเล็กๆ จนมีข่าวแพร่กระจายไปทั่วพื้นที่ว่า มีพระธุดงค์กำลังสร้างวัดขึ้น ชาวบ้านจึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในปฏิปทาความตั้งใจของหลวงปู่พริ้ง จึงร่วมแรงร่วมใจกับท่านช่วยกันปรับปรุงพื้นที่จนสร้างเป็นวัดสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยตั้งชื่อว่า “วัดซับชมพู่”

             ทั้งนี้หลวงพ่อพริ้ง พูดถึงหลวงพ่อเดิม ยอดพระอาจารย์เหนือหัวว่า “ฉันเห็นกับตานะ หลวงพ่อเดิมท่านนี่ เอาเท้าจุ่มน้ำคราม วางบนกองผ้าขาวหลายพับหลายผืน ท่านหลับตาเอามือตบเข่าฉาดเดียว !!! ผ้าทุกผืน มีรอยเท้าท่านติดชัดหมด ยอมท่านเลยล่ะ”

             “ส่วนหลวงพ่อทบนี่ ฉันไปหาท่านตั้งแต่ท่านยังไม่ดัง ไม่มีคนรู้จัก ตอนตาท่านเสีย ท่านให้ตำหมากให้เป็นประจำ ท่านถามฉันว่า กล้ากินขี้หมากที่ท่านคายออกจากปากไหม ฉันบอกกล้าซีคุณพ่อ ท่านหัวเราะชอบใจ คายให้กินเดี๋ยวนั้น พอฉันกินหน้าตาเฉย ท่านบอกว่า คุณรู้ไหม ชานหมากผมนี่ วิชาทั้งนั้นเลยนะ นอนภาวนามาทั้งคืน นึกอธิษฐานเอาว่า จะให้ใครดีวิชานี้ ก็มาจำเพาะได้ที่คุณ กินขี้หมากผมให้ได้สัก ๓ วัน ๗ วัน ร่างจะเป็นทิพย์ จิตจะเป็นแก้ว เก่งไม่แพ้ใครแล้ว”

             หลวงปู่พริ้ง ท่านชอบเลี้ยงเด็ก มีเด็กลูกหลานชาวบ้านที่ยากจนที่ท่านส่งเสียเลี้ยงดูให้การศึกษาอยู่เกือบ ๔๐ คน บางคนได้เป็นใหญ่เป็นโต มีอาชีพการงานที่มั่นคง เป็นคนดีของสังคมไปก็มาก ความข้อนี้ทราบถึงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โปรดให้หลวงปู่พริ้งเข้าเฝ้าฯ และประทานพระราชทรัพย์ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการดูแลเด็กๆ เหล่านี้

กระทั่งทุกวันนี้หลวงปู่พริ้งยังเป็นที่พึ่งของชาวบ้าน เดือนร้อนอะไร ก็มาขอให้ช่วยสารพัดจะขอ ท่านก็ทำให้ได้สารพัดเหมือนกัน สมดังคำหลวงพ่อเดิม พูดฝากไว้ว่า

             “..คุณพริ้ง ฉันบวชให้แล้วอย่าสึกนะ ถ้าจะสึก ก็ให้กลับมาบวชใหม่ ตอนมีแรง ให้ทำความเพียรไว้ให้มากๆ ท่านต้องช่วยคนตอนแก่นะ ข้างบนเขากำหนดไว้อย่างนั้น..”

             ชื่อเสียงหลวงปู่พริ้ง แห่งวัดซับชมพู่ เป็นที่ร่ำลือไปทั่วว่า เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีวิชาแกร่งกล้า อยู่ในระดับแนวหน้า ของจริง โดยได้รับอาราธนาไปเป็นประธานในพิธีพุทธาภิเษกพระเครื่องรุ่นดังๆ พิธีใหญ่มากมาย ที่สำคัญ วัตถุมงคลของท่านไม่เป็นสองรองใครในสายเกจิเมืองเพชรบูรณ์

ปัจจุบันสังขารของหลวงปู่พริ้ง ตั้งบำเพ็ญกุศล และให้ศิษยานุศิษย์ ได้เดินทางมา กราบสักการะ ที่ศาลาปฏิบัติธรรมหลวงพ่อวิโรจน์ วิโรจโน วัดถ้ำชาละวัน ต.คลองคะเชนทร์ อ.เมืองพิจิตร จ.พิจิตร

ติดต่อสอบถาม  0885964469 พระครูสังฆรักษ์กิตติคุณ เจ้าอาวาส




























ธีรพงศ์ นาคแนม (นกพิราบศูนย์ข่าว จังหวัดพิจิตร)ศูนย์ประสานงานข่าว โทร 0831671688 รายงาน** คนรู้จักพัก ทว่าไม่รู้จักพอ ** จิตอาสาพัฒนา เราทำความดีด้วยหัวใจ....ร่วมใจกันพัฒนา 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น